จากงานวิจัยเมื่อปี 2016 ของ Craig Downs และคณะ ชี้ให้เห็นว่าครีมกันแดดอาจเป็นภัยต่อ แนวปะการัง ซึ่งพบว่าสารเคมี เช่น Oxybenzone หรือ BP3 ที่เป็นองค์ประกอบในครีมกันแดด ที่นิยมใช้ อย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดกว่า 3,500 ยี่ห้อทั่วโลก เป็นตัวที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากที่สุด เนื่องจากจะไปรบกวนระบบสืบพันธุ์ ท้าให้ตัวอ่อนปะการังโตแบบผิดรูป ปะการังมีภูมิคุ้มกันต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยลง และตายไปในที่สุด ซึ่งจากงานวิจัยคาดการณ์ว่าแต่ละปีมีครีมกันแดด มากถึง 6,000-14,000 ตัน ถูกชะล้างลงสู่ทะเลทุกปีซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อปะการังอย่างมาก นอกจาก สาร Oxybenzone หรือ BP3 ยังพบสารที่เป็นอันตรายต่อปะการังอีกดังนี้
- Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3) : ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของปะการัง ทำให้ตัวอ่อนโตผิดรูป ปะการังอ่อนแอต่อโรคและตายในที่สุด
- Octinoxate (Ethylhexyl methoxycinnamate) : ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของปะการัง คล้ายกับ Oxybenzone
- 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC) : ทำให้ปะการังฟอกขาว
- Butylparaben (วัตถุกันเสีย) : ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของปะการัง คล้ายกับ Oxybenzone
ปริมาณ :
แม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อครีมกันแดดถูกชะล้างลงสู่ทะเล ปริมาณเหล่านี้จะสะสม ส่งผลเสียต่อปะการังและระบบนิเวศทางทะเล
ผลกระทบ :
- ปะการังฟอกขาว
- ระบบสืบพันธุ์ของปะการังถูกทำลาย
- ปะการังอ่อนแอต่อโรคและตาย
- ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศทางทะเล
ทางเลือก :
- เลือกครีมกันแดดที่มีฉลาก “Reef-safe” หรือ “Safe for coral reefs”
- หลีกเลี่ยงครีมกันแดดที่มี Oxybenzone, Octinoxate, 4-Methylbenzylid Camphor และ Butylparaben
- ทาครีมกันแดดในปริมาณที่พอเหมาะ
- ทาครีมกันแดดก่อนลงน้ำอย่างน้อย 15 นาที
- สวมเสื้อผ้ามิดชิด หมวก และแว่นกันแดด
- เลี่ยงการทาครีมกันแดดใกล้แนวปะการัง
กฎหมาย :
- หลายประเทศและพื้นที่ห้ามใช้ครีมกันแดดที่มี Oxybenzone และ Octinoxate
- ตัวอย่างเช่น ประเทศไทย ห้ามใช้ครีมกันแดดที่มี Oxybenzone, Octinoxate, 4-Methylbenzylid Camphor และ Butylparaben ในอุทยานแห่งชาติ