เมื่อเอ่ยถึง “Frangipani” (แฟรนจิพานี) คนไทยส่วนใหญ่อาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่าคือต้น “ลีลาวดี” หรือชื่อเดิมคือ “ลั่นทม” ทุกคนย่อมรู้จักกันดี ดอกไม้ชนิดนี้เป็นที่รักและพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย ตั้งแต่สวนในบ้าน วัดวาอาราม ไปจนถึงสปาและรีสอร์ทหรู ด้วยรูปทรงดอกที่สวยงามและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์
Frangipani / ลีลาวดี คืออะไร?
Frangipani เป็นชื่อสามัญของพืชในสกุล Plumeria ซึ่งอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนและกึ่งร้อนของทวีปอเมริกา แต่ได้แพร่หลายและถูกนำไปปลูกทั่วโลกในเขตร้อนชื้น รวมถึงประเทศไทย
ลักษณะทั่วไปเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ มีกิ่งก้านอวบใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขาไม่เป็นระเบียบนัก จุดเด่นที่สุดคือ ดอก ซึ่งมักออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง มีกลีบดอกหนาคล้ายขี้ผึ้ง มีหลากหลายสีสัน ตั้งแต่สีขาวบริสุทธิ์ สีเหลืองนวล สีชมพู สีแดงสด ไปจนถึงสีส้ม หรือมีหลายสีในดอกเดียว โดยมักมีใจกลางดอกเป็นสีเหลือง
กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์: สิ่งที่ทำให้ลีลาวดีเป็นที่จดจำคือ กลิ่นหอมหวาน ที่เข้มข้นและเย้ายวนใจ กลิ่นจะ หอมแรงที่สุดในช่วงเวลากลางคืน เพื่อดึงดูดผีเสื้อกลางคืน (Sphinx Moths) ซึ่งเป็นแมลงผสมเกสรหลักของมัน
ความสำคัญทางวัฒนธรรม:
- ในประเทศไทย:
- ชื่อและความหมาย: เดิมทีรู้จักกันในชื่อ “ลั่นทม” ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า “ระทม” ที่แปลว่าความเศร้าโศก ทำให้บางคนเชื่อว่าเป็นไม้อัปมงคล ไม่นิยมปลูกในบ้าน ต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานนามใหม่ว่า “ลีลาวดี” ซึ่งมีความหมายว่า “ต้นไม้ที่มีท่วงท่าสวยงาม” ทำให้ความเชื่อด้านลบจางหายไป และกลายเป็นดอกไม้มงคลที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย
- สัญลักษณ์: มักถูกเชื่อมโยงกับวัดวาอาราม สปา และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นสัญลักษณ์ของความสงบ สวยงาม ความมีเสน่ห์ และบางครั้งหมายถึงการเริ่มต้นใหม่หรือที่พักพิง
- ในวัฒนธรรมอื่น:
- ฮาวาย: เป็นดอกไม้หลักที่ใช้ร้อย พวงมาลัย (Lei) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับ ความรัก และมิตรภาพ
- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย: มักปลูกในบริเวณวัดของศาสนาฮินดูและพุทธ มีความเชื่อมโยงกับเรื่องจิตวิญญาณ ชีวิต และความเป็นอมตะ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ: เป็นประโยชน์หลัก นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในสวน อาคาร หรือปลูกในกระถาง เพื่อชื่นชมความงามของดอกและกลิ่นหอม
- อุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องหอม: กลิ่นหอมเฉพาะตัวของลีลาวดีเป็นที่ต้องการอย่างมาก ใช้ในการผลิตน้ำหอม, โลชั่น, สบู่, เทียนหอม, ธูป หรือเครื่องหอมต่างๆ (การสกัดน้ำมันหอมระเหยแท้ (Essential Oil) จากดอกลีลาวดีทำได้ยากและมีราคาแพงมาก ส่วนใหญ่จึงเป็นการสกัดแบบแอบโซลูท (Absolute) หรือใช้กลิ่นสังเคราะห์)
- การแพทย์แผนโบราณ (จำกัดและต้องระวัง): ในบางวัฒนธรรม มีการนำส่วนต่างๆ ของต้นลั่นทมมาใช้เป็นยาพื้นบ้าน เช่น ใช้ยางทาแก้ฟกช้ำ หรือใช้เปลือกต้มแก้โรคบางอย่าง อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณทางยายังมีน้อยมาก และที่สำคัญคือบางส่วนของพืชชนิดนี้มีพิษ
- เครื่องสำอาง (จำกัด): บางครั้งมีการใช้น้ำสกัดจากดอก (Floral Water) หรือสารสกัดในปริมาณน้อยในเครื่องสำอาง เพื่อให้กลิ่นหอม หรือหวังผลเรื่องความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิวอย่างอ่อนๆ แต่ ไม่ใช่ส่วนผสมหลักที่เน้นผลลัพธ์ด้านการบำรุงผิวอย่างชัดเจน
ความเป็นพิษและข้อควรระวัง (สำคัญมาก):
- ยางสีขาว: ทุกส่วนของต้นลีลาวดี โดยเฉพาะเมื่อหักกิ่งหรือเด็ดใบ จะมียางสีขาวข้นไหลออกมา ยางนี้ มีพิษ หากสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง อาจทำให้เกิด อาการคัน ผื่นแดง หรือระคายเคือง ได้ในผู้ที่แพ้ง่าย หากเข้าตาจะทำให้ระคายเคืองอย่างรุนแรง และหาก รับประทานเข้าไป จะเป็นพิษ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย
- ข้อควรปฏิบัติ: ควรระมัดระวังเมื่อตัดแต่งกิ่งหรือสัมผัสกับยาง ควรล้างมือให้สะอาดหลังจับ และเก็บให้ห่างจากเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยงที่อาจเผลอกินเข้าไป
การปลูกเลี้ยง: ลีลาวดีเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัดตลอดวัน ดินร่วนระบายน้ำดี ทนแล้งได้ดี และเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย ขยายพันธุ์ได้ง่ายโดยการปักชำกิ่ง
สรุป:
ลีลาวดี หรือ ลั่นทม (Frangipani) คือดอกไม้เมืองร้อนที่มีความสวยงามโดดเด่นและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เป็นที่รักและมีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างยิ่งในประเทศไทย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและใช้ประโยชน์จากกลิ่นหอมในอุตสาหกรรมเครื่องหอม แม้จะมีการกล่าวถึงสรรพคุณทางยาในตำรับโบราณ แต่ยังขาดหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจน และ สิ่งสำคัญที่ต้องระลึกไว้เสมอคือ ยางสีขาวของต้นลีลาวดีมีฤทธิ์ระคายเคืองและเป็นพิษหากรับประทาน