แสงแดดในเมืองไทยแรงตลอดปี (ตอนนี้ วันที่ 5 เมษายน 2568 ก็ใกล้เข้าสู่ช่วงที่แดดแรงจัด) การทาครีมกันแดดจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ที่เป็นอันตราย ทั้ง UVA (ทำให้แก่ก่อนวัย, เกิดจุดด่างดำ) และ UVB (ทำให้ผิวไหม้แดด, แสบแดง) แต่ครีมกันแดดมีเยอะมาก จะเลือกยังไงให้เหมาะกับเราที่สุด? มาดูเคล็ดลับกันครับ:
1. เช็คค่า SPF และ PA ให้ดี: นี่คือหัวใจสำคัญ!
- SPF (Sun Protection Factor): บอกความสามารถในการป้องกันรังสี UVB (ตัวการผิวไหม้) ตัวเลขยิ่งสูงยิ่งปกป้องได้นานขึ้น
- สำหรับชีวิตประจำวัน (ในร่มส่วนใหญ่): เลือก SPF 30 ขึ้นไป
- สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง/แดดจัด: เลือก SPF 50 หรือ 50+
- PA (Protection Grade of UVA): บอกความสามารถในการป้องกันรังสี UVA (ตัวการผิวแก่) ดูที่เครื่องหมายบวก (+) ยิ่งบวกเยอะยิ่งดี
- แนะนำสำหรับประเทศไทย: ควรเลือก PA+++ หรือ PA++++ เพื่อการปกป้องสูงสุด
–> สรุปง่ายๆ: มองหาคำว่า “Broad Spectrum” หรือ กันแดดที่ระบุค่าทั้ง SPF (30-50+) และ PA (+++ หรือ ++++)
2. รู้จักสภาพผิวตัวเอง: ผิวแต่ละแบบเหมาะกับกันแดดต่างกัน
- ผิวมัน / เป็นสิวง่าย (Oily / Acne-Prone):
- มองหา: เนื้อเจล (Gel), ฟลูอิด (Fluid), โลชั่นน้ำนมบางเบา (Lotion)
- คำสำคัญ: “Oil-Free”, “Non-Comedogenic” (ไม่ทำให้อุดตัน), “บางเบา” (Lightweight)
- หลีกเลี่ยง: เนื้อครีมหนักๆ หรือที่มีน้ำมันเยอะ
- ผิวแห้ง (Dry Skin):
- มองหา: เนื้อครีม (Cream), โลชั่น (Lotion) ที่มีความชุ่มชื้น
- ส่วนผสมที่น่าสนใจ: Hyaluronic Acid, Ceramides, Glycerin
- อาจต้องการเนื้อที่เข้มข้นกว่าเล็กน้อยเพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น
- ผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin):
- มองหา: กันแดดประเภท Physical (Mineral) Sunscreen (ดูข้อ 4)
- คำสำคัญ: “Fragrance-Free” (ปราศจากน้ำหอม), “Alcohol-Free” (ปราศจากแอลกอฮอล์), “Hypoallergenic” (สำหรับผิวแพ้ง่าย)
- สำคัญ: ควรทดสอบการแพ้ (Patch Test) ที่ท้องแขนหรือหลังหูก่อนใช้กับใบหน้า
3. พิจารณาไลฟ์สไตล์และกิจกรรม:
- ใช้ทุกวัน / ทำงานในออฟฟิศ: อาจเลือกเนื้อบางเบาที่สบายผิว แต่ยังคงต้องการ SPF และ PA สูง เพราะเรายังเจอแสง UVA ผ่านกระจก และแสงจากหน้าจอได้
- กิจกรรมกลางแจ้ง / เล่นกีฬา / ว่ายน้ำ:
- ต้องเลือก SPF 50+ และ PA++++
- มองหาคำว่า “Water-Resistant” (กันน้ำ) หรือ “Sweat-Resistant” (กันเหงื่อ) ซึ่งจะบอกระยะเวลาที่กันน้ำได้ (เช่น 40 นาที หรือ 80 นาที) และต้องทาซ้ำหลังหมดเวลา หรือหลังเช็ดตัว
- กันแดดแบบแท่ง (Stick) หรือ สเปรย์ (Spray) อาจสะดวกในการทาซ้ำระหว่างวัน (แต่แบบสเปรย์ต้องฉีดให้ทั่วถึงและปริมาณมากพอ)
4. เลือกประเภทของสารกันแดด (Filters):
- Physical (Mineral) Sunscreen:
- สารหลัก: Zinc Oxide (ZnO), Titanium Dioxide (TiO2)
- หลักการทำงาน: เคลือบบนผิวเหมือนกระจก สะท้อนรังสี UV ออกไป
- ข้อดี: อ่อนโยน โอกาสแพ้น้อย เหมาะกับผิวแพ้ง่ายและเด็ก ออกแดดได้ทันทีหลังทา
- ข้อสังเกต: อาจทิ้งคราบขาว (White Cast) ได้บ้างในบางสูตร (แต่สูตรใหม่ๆ พัฒนาดีขึ้นเยอะ) เนื้ออาจจะหนากว่าเล็กน้อย
- Chemical Sunscreen:
- สารหลัก: Oxybenzone, Avobenzone, Octinoxate, Octisalate ฯลฯ
- หลักการทำงาน: ดูดซับรังสี UV แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิว
- ข้อดี: เนื้อบางเบา ซึมง่าย ไม่ทิ้งคราบขาว
- ข้อสังเกต: อาจระคายเคืองในบางคน ต้องรอประมาณ 15-20 นาทีก่อนออกแดดเพื่อให้สารกันแดดเริ่มทำงาน / สารบางตัว (เช่น Oxybenzone, Octinoxate) อาจมีประเด็นเรื่องผลกระทบต่อปะการัง (Reef Safety)
- Hybrid Sunscreen: ผสมทั้ง Physical และ Chemical เพื่อดึงข้อดีของทั้งสองแบบ
5. ลองเนื้อสัมผัส (Texture) ที่ชอบ:
- นอกจากจะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ความชอบส่วนตัวก็สำคัญ ถ้าเราไม่ชอบเนื้อสัมผัส ก็อาจจะไม่อยากทาทุกวัน
- ลองเทสต์เนื้อผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อ (ถ้าเป็นไปได้) เพื่อดูว่าซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ หรือทิ้งคราบหรือไม่
6. อย่าลืม “ปริมาณ” และ “การทาซ้ำ”:
- ปริมาณ: ทาในปริมาณที่เพียงพอ (ประมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร) หรือจำง่ายๆ คือ ประมาณ 2 ข้อนิ้วมือสำหรับใบหน้าและลำคอ หรือเท่ากับเหรียญ 10 บาท
- ทาซ้ำ: ทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง หรือทาซ้ำทันทีหลังว่ายน้ำ, เหงื่อออกมาก, หรือเช็ดตัว
เคล็ดลับสุดท้าย: การหากันแดดที่ใช่ อาจต้องลองผิดลองถูกบ้าง อย่าเพิ่งท้อ! เมื่อเจอตัวที่ชอบและเหมาะกับผิวแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทาเป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะออกแดดหรือไม่ก็ตาม เพื่อการปกป้องผิวที่ดีที่สุดในระยะยาวครับ!